วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ข้างหน้าหรือข้างหลัง

มีของใช้ในบ้านหลายสิ่งซึ่งไม่ได้นำมาใช้ในวิธีที่ถูกต้อง มีหลายๆคนที่ไม่ได้ใช้นำแข็งทำให้เครื่องดื่มเย็นได้อย่างถูกวิธี เขาวางเครื่องดื่มไว้บนนำแข็ง แทนที่จะวางไว้ใต้นำแข็ง และนี้ก็เช่นเดียวกัน คือมีหลายคนที่ไม่รู้วิธีการใช้กระจกเงาได้อย่างถูกต้อง คนส่วนใหญ่วางตะเกียงไว้ข้างหลังตัวเขา เพื่อให้แสงที่สะท้อนจากกระจกเงา "สว่างขึ้น" แทนที่จะให้แสงส่องที่ตัวของเขาเอง เนื่องจากมีสุภาพสัตรีหลายท่านที่ทำเช่นนี้ ข้าพเจ้าหวังว่าคุณสุภาพสตรีที่ได้อ่านเรื่องนี้แล้ว คงจะต้องวางตะเกียงไว้ข้างหน้าของตัวท่านเมื่อท่านต้องการใช้กระจกเงา

ปัญหาการขึ้นสู่ขอบฟ้าของดวงอาทิตย์

สมมติว่าท่านลุกขึ้นจากที่นอนเมือเวลาตีห้าตรงเพื่อสังเกตดวงอาทิตย์
ขึ้นสู่ขอบฟ้าเวลานั้น เนื่องจากว่าแสงไม่ได้เดินทางในช่วงเวลาเพียงพริบตาเดียว
แต่จะต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งในการเดินทางจากต้นกำเนิดเข้าสู่ตาของเรา ดังนั้นคำถาม
ของข้าพเจ้าคือท่นจะสามารถเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นเมื่อเวลาใดทแสงสามารถเดินทาง
ในเวลาชั่วพริบตาเดียวหรื่อไม่
เนื่องจากแสงเดินทางจากดวงอาทิตย์มายังโลกในเวลา 8 นาที ดังนั้น
เราอาจคิดว่าถ้าแสงเดินทางไปชั่วพริบตาเดียว เราจะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นเร็วกว่าเดิม
8 นาที นั่นคือเวลา 4 นาฬิกา 52 นาที ถ้าท่านคิดเช่นนี้ท่านจะต้องแปลกใจ
เพราะว่า คำตอบนี้ผิดอย่างเช่นเชิง เพราะว่ดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ขอบฟ้าเมื่อโลกหัน
ไปยังบรรยากาศในด้านที่มีแสงอาทิตย์อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นแม้ว่าถ้าแสงเดินทาง
ในชั่วพริบตาเดียว เราก็ยังคงเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ขอบฟ้าในเวลาตีห้าเหมือนเดิม
ถ้าหากคิดรวมถึงสิ่งที่เรียกว่า "การหักเหของบรรยากาศ" เราจะได้
ผลที่น่าทึ่งมากกว่านั้น การหักเหทำให้แสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง ดังนั้นทำให้เราสามารถ
เห็นดวงอาทิตย์ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นสู่ขอบฟ้าจริงๆ แต้ถ้าหากแสงเดินทาง
ในเวลาชั่วพริบตาเดียว จะไม่มีการหักเหเกิดขึ้นเพราะการหักเหเกิดจากความเร็ว
ที่แตกต่างกันของแสงที่เคลื่อนที่ผ่านตัวกลางต่างๆกัน และถ้าไม่มีการหักเหเราจะเห็น
ดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ขอบฟ้าช้ากว่าความจริงเล็กน้อย คือ จาก 2นาทีไปจนกระทั่งหลายๆนาที
หรือมากกว่านั้น (ในบริเวณละติจูดทางขั้วโลก) ทั้งนี้เพราะการเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นสู่
ขอบฟ้านั้นขึ้นอยู่กับเส้นรุ้ง อุณหภูมิของอากาศและปัจจัยอื่นๆอีกหลายอย่าง ดังนั้นถ้า
แสงเดินทางในชั่วเวลาเพียงพริบตาเดียว เราจะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นช้ากว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ซึ่งจะเห็นว่าเป็นเรื่องขัดกันอย่างน่าประหลาด
ท่านจะพบสิ่งที่แตกต่างกันมากขึ้นถ้าท่านสังเกตดวงอาทิตย์โผล่จากขอบฟ้า
ด้วยกล้องโทรทรรศน์ และถ้าแสงเดินทางในเวลาชั่วพริบตาเดียวแล้ว ท่านจะเห็นดวงอาทิตย์
ก่อนความเป็นจริง 8 นาที
ที่มา สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ

กระดาษผจญเพลิง

การแสดง
1.ชุบกระดาษกรองลงไปในสารละลายที่ไม่มีสีซึ่งได้เตรียมไว้แล้ว จากนั้นชูให้ผู้ชมสังเกต
2.ใช้คีมโลหะคีบกระดาษกรองชิ้นนี้นำไปใกล้เปลวไฟ
ให้ผู้ชมสังเกตว่ามีอะไรเกิดขึ้น
3.ปล่อยให้ไฟลุกที่กระดาษกรอง แล้วนำไปวางบนแผ่นกันไฟ หรืออาจวางในถาดทรายสังเกตว่ามีอะไรเกิดขึ้น
4.คีบกระดาษกรองแผ่นนี้ขึ้นมาแสดงให้ผู้ชมดู
มีอะไรเกิดขึ้นกับกระดาษแผ่นนี้หรือไม่ เพราะอะไร ให้ผู้ชมช่วยกันคิด

มีอะไรเกิดขึ้น

ตอนแรกไฟจะลุกท่วมกระดาษกรอง และเปลวไฟจะมีสีเหลือง-ส้มสวยงาม หลังจากนั้นไฟจะดับ แต่กระดาษกรองจะเหมือนเดิมทุกประการ

เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น
ไฟจะลุกท่วมเอทานอล เพราะเป็นแอลกอฮอล์ ขณะเดียวกันกระดาษมีน้ำพอที่จะป้องกันไม่ให้ไฟไหม้กระดาษไก้ส่วนโซเดียมคลอไรด์ที่เติมลงไปในสารละลายจะทำให้เปลวไฟสว่างสุกใสด้วยแสงโซเดียม


หมายเหตุ

อาจใช้ผ้าเช็ดหน้าแทนกระดาษกรองก็ได้ จะทำให้สนุกไปอีกแบบหนึ่ง


ใช้อะไรบ้างในการแสดง
* เอทานอล(เอทิลแอลกอฮอล์) 57 ml
*น้ำ 43 ml
*โซเดียมคลอไรด์(เกลือแกง) 5 g

วิธีเตรียมสารละลาย

ผสมเอทานอลกับน้ำเข้าด้วยกัน แล้วเติมโซเดียมคลอไรด์ลงไปคนให้เข้ากัน จะได้สารละลายที่ใช้ในการแสดงชุดนี้

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน

การแสดง
ตอนที่ 1
1. วางต๊กตาตัวที่ 1 บนโต๊ะ
2. เชิญอาสาสมัครขึ้นมาบนเวที1คนแล้วมอบตุ๊กตาตัวที่2ให้
3. ให้จับตุ๊กตาตัวที่2เคลื่อนที่เข้าหาตัวที่1ให้ได้ โดยเคลือนตัวที่2เข้าไปติดตัวที่1
(ถามผู้ชม : มีอะไรเกิดขึ้นกับตุ๊กตาตัวที่1 ตัวที่2เข้าไปติดกับตัวที่1ได้หรือไม่)
ตอนที่ 2
1. ถามผู้ชมว่า ใครจะอาสาขึ้นมาช่วยไล่ตุ๊กตาตัวที่1บ้าง เชิญผู้ชมขึ้นมาอีก 1 คน
2. ให้อาสาสมัครคนที่1จับตุ๊กตาตัวที่3เคลื่อนเข้าไปไล่ตุ๊กตาตัวที่1 ขณะเดียวกันให้คนที่2ใช้ตุ๊กตาตัวที่2 ช่วยกันไล่ต้อนตุ๊กตาตัวที่1ด้วย
-มีอะไรเกิดขึ้นกับตุ๊กตาตัวที่ 1,2และ3บ้าง
-ตุ๊กตาทั้งสองตัวไล่จับตุ๊กตาตัวที่1ได้หรือไม่เพราะเหตุใด
มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนที่ 1
ตุ๊กตาตัวที่1 จะหนีตัวที่2 ตลอดเวลาที่ถูกตัวที่สองไล่จับ และไม่มีทางที่ตัวที่สองจะจับตัวที่1ได้
ตอนที่ 2
ตุ๊กตาตัวที่1 จะหนีก่างออกไปทุกที ทั้งๆที่ตุ๊กตาตัวที่2 และ3ช่วยกันไล่ต้อน ยิ่งช่วยกันไล่ต้อนข้างหน้าและข้างหลังตัวที่1 จะหนีออกห่างได้ไกลขึ้น
"ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น"
การแสดงชุดนี้ใช้สมบัติของแม่หล็กที่ว่า แม่เหล็กขั้วเดียวกันกันจะผลักกัน โดยตุ๊กตาตัวที่ 1,2และ 3 มีแม่เหล็กอยู่ตรงฐานด้านใน ผู้ชมจะมองไม่เห็นแม่เหล็กที่อยู่ในตุ๊กตาทั้งสามตัว ซึ่งหันขั้วเดียวกันเข้าหากัน

ใช้อะไรในการแสดง
-แม่เหล็กกลมแบน 3 อัน
-กรวยกระดาษ 3 อัน(ฐานมีขนาดเท่าแม่เหล็ก วาดรูปหน้าตาทำตุ๊กตา)

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

ภาพมหัศจรรย์

ภาพมหัศจรรย์

การแสดง

ผู้ปฏิบัติตามขั้นตอนตอนไปนี้

ชูกระดาษเปล่าซึ่งอาบด้วยสารละลายโพแทสเซียมไทโอไซยาเนตไว้ แต่ไม่บอกให้ผู้ชมทราบแล้วใช้พู่กันจุ่มลงไปในสารละลายอีกชนิดหนึ่งซึ่งผู้ชมไม่ทราบว่าคืออะไร จากนั้นวาดภาพด้วยพู่กันอันนี้ ผู้ชมจะเห็นภาพที่มีสีแปลกตา ซึ่งสีจะไม่เหมือนกับสารละลายที่ใช้เขียน

สังเกตสีของภาพ

ภาพที่เขียนจะเป้นสีแดงที่แปลกตา


เพราะอะไรจึงจัดเป็นเช่นนั้น

การแสดงชุดนี้เป็นการแสดงปฏิกิริยาเคมีระหว่างโพแทสเซียมไทโอไซยาเนต 9(Potassium thiocyanate) กับไอร์ออน(III)คลอไรด์ (lron (III)chloride) ซึ่งให้สีแดง ปฏิกิริยานี้ใช้ทดสอบFe3+

การเตรียมการแสดง เริ่มด้วยการนำกระดาษเปล่ามาทาด้วยสารละลายโพแทสเซียมไทโอไซยาเนต อาจใช้สำลีชุบสารละลายนำไปป้ายให้ทั่วแผ่นกระดาษแล้ววางทิ้งไว้ให้หมาดจากนั้นจึงใช้พู่กันจุ่มสารละลายไอร์ออนคลอไรด์ เขียนภาพลงไปบนกระดาษแผ่นนี้ จะปรากฏภาพสีแดงบนแผ่นกระดาษ

ใช้อะไรบ้างในการแสดง

* ไอร์ออน(III)คลอไรด์ (FeCl3) 5 g ผสมน้ำทีละน้อยๆ คนให้ละลายจนหมด
* โพแทสเซียมไทโอไซยาเนต 5 g ผสมน้ำทีละน้อยๆ คนให้ละลายจนหมด
* กระดาษเปล่าว
* พู่กัน

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552

การทดลอง cern 1

ศิลปะเคมี

วันนี้เราจะนำเสนอการทดลองวิทยาศาสตร์เรื่องศิลปะเคมี

การแสดง

1.ใช้พู่กันจุ่มลงในสารละลายสีชมพู่ที่เตรียมไว้ แล้วเขียนภาพลงในกระดาษวาดเขียน ภาพจะเป็นสีชมพู
(อาจให้ผู้ชมออกมาเขียนภาพด้วยตนเอง)
2.ชูภาพให้ผู้ชมดูทันทีที่เขียนเสร็จ
3.ตืดโชว์ที่บอร์ด ทำให้ภาพแห้งโดยใช้พัดลมเป่า หรือใช้เครื่องเป่าผมเป่าจะช่วยให้แห้งเร็วขึ้น ให้ผู้ชมสังเกตที่ภาพว่าสีเหมือนเดิมหรือไม่
(สีของภาพเปลี่ยนแปลงหรือไม่อย่างไร)
4.เมื่อสีของภาพเปลี่ยนแล้ว ให้ใช้กระดาษทิชชูชุบน้ำพอหมาดๆ นำไปเตาะที่ภาพทีละส่วนให้ผู้ชมสังเกตต่อไป
สีของภาพเป็นสีอะไร

มีอะไรเกิดขึ้น
การแสดงชุดนี้เป็นการเขียนภาพด้วยสารละลายโคบอลต์ (II)คลอไรด์ซึ่งเป็นสีชมพู เมื่อระบายภาพด้วยพู่กันจะได้ภาพสีชมพู พอทำให้แห้งสีจะเปลี่ยนจากชมพูเป็นสีฟ้าเข้มสวยงามมาก และเมื่อทำให้ภาพนี้ชื้นโดยการใช้กระดาษทิชชูที่เป็นเปียกน้ำไปแตะที่ภาพ สีของภาพจะเปลี่ยนจากสีฟ้าเข้มเป็นสีชมพู เมื่อวางทิ้งไว้สีจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเข้ม ทั้งนี้เนื่องจากโคบอลต์(II)คลอดไรด์ ซึ่งเป็นของแข็งจะเป็นสีน้ำเงิน แต่ถ้าถูกความชื้นหรืออยู่ในน้ำจะเป็นสีชมพูถ้าไล่น้ำออกไปจะเหลือแต่ตัวโคบอลต์ จึงกลับเป็นสีฟ้าเข้มอีก
สุดท้ายภาพจะเป็นสีฟ้าเข้ม ถ้าเราไม่ทำให้ภาพถูกความชื้นก้จะยังคงรักษาสีน้ำเงิน

เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น

การแสดงชุดนี้เป็นการเขียนภาพด้วยสารละลายโคบอลต์(II)คลอไรด์ เมื่อโคบอลต์(II)คลอไรด์ได้รับความชื้นหรืออยู่ในน้ำจะเป็นสีชมพู และเมื่อไล่น้ำออกจะเป็นสีฟ้าเข้ม ทั้งนี้เนื่องจากโคบอลต์(II)สามารถสร้างเตตระฮีดรัลคอมเพล็กซ์ (tetrahedral complex) ซึ่งจะเป็นสีน้ำเงิน และออกตะฮีดรัลคอมเพล็กซ์(octahedral complex)ซึ่งเป็นสีชมพู โดยจะมีโมเลกุลของ H2Oมาล้อมโคบอลต์ไว้ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงสีจะเกี่ยวข้องกับโคบอลต์อิออน



ใช้อะไรบ้างในการแสดง

- กระดาษวาดเขียน
- กระดาษทิชชู หรือพู่กัน
- น้ำ
- สารละลายโคบอลค์(II)คลอดไรด์ (CoCl2)
( ใช้โคบอลต์ (II)คลอไรด์ 5g เติมน้ำลงไปทีละน้อยคนจนละลายหมด เก็บใส่ขวดไว้)

ข้อสังเกตเพิ่มเติม
1. การแสดงชุดนี้อาจทำให้ตื่นเต้นได้อีกแบบหนึ่ง คือ เขียนภาพมาให้เรียบร้อยก่อน โดยไม่ให้ผู้ชมเห็นในขณะที่เขียน ดังนั้นภาพที่นำมาแสดงตอนแรกจะเป็นสีฟ้าเข้ม เพราะโคบอลต์(II)คลอไรด์ที่ป้ายไว้แห้งแล้ว จากนั้นให้ผู้ชมขึ้นมาช่วยกันหายใจออกรดลงไปที่ภาพ จะเห็นว่าภาพสว่นที่ถูกลมหายใจจะเป็นสีชมพู ดังนั้นภาพจะสวยมากมีสีชมพูสลับกับสีฟ้าเข้ม ส่วนที่เป็นสีชมพู เพราได้รับความชื้นขณะที่ปล่อยลมหายใจออกมา
2.ปฏิบัตินี้เกี่ยวข้องกับความชื้น ให้ผู้ชมนำไปคิดและทดลองดูว่าจะใช้กระดาษโคบอลต์ (II)คลอไรด์ไปวัดความชื้นในอากาศได้ไหม ลองคิดดู
3.กระดาษที่เขียนภาพไว้แล้วนี้ สามารถเก็บไว้เล่นได้ตลอด

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552

หลอดแก้ววิ่งได้

หลอดแก้ววิงได้

การแสดง

ผู้แสดงปฎบัติตามขั้นตอนตอไปนี้
1.ชูหลอดทอลองขนาดกลางทีใส่น้ำประมาณสามสวนสี่ขอหลอด
2.ใสหลอดทดลองเปลาวขนาดเล็กตามลงไป

ทายกันกอน
ถ้าคว่ำหลอดทั้งชุดนี้ลง คิดวาจะเกิดอะไรขึ้น
3.คว่ำหลอดทั้งชุดนี้ลง ใช้นิ้วดันปากหลอดเล็กเบาๆ

มีอะไรเกิดขึ้น
จะมีน้ำหยดออกมาเล็กน้อย ขณะเนยวกันหลอดเล้กจะเคลือนเข้าไปในหลดใหญ่จนมิด

เพราะอะไรจึงเป็นเชนนั้น

หลอดเล้กเคลื่อนเข้าไปในหลอดใหญได้ เพราะวามีรงดันของอากาศดันเขาไป และจะเห้นวาน้ำในหลอดใหญ่หยดออกมาทีละน้อย

ใช้อะไรบ้างในการแสดง
- หลอดทดลองขนาดเส้นผ่านศุนยืกลาง 1.5 cm ความยาว 14 cm ( หลอดขนาดกลาง)
- หลอดทดลองขนาดเส้นผ่านศูนยืกลาง 1.4cm ความยาว 10 Cm
- น้ำ

หมายเหตุ
ตอนที่คว่ำหลอด จะต้องใช้นิ้วดันหลอดเล้กเข้าไปเบาๆ ก่อนใช้มือประคองไว้เพื่อมิให้หลอดหลุดลงมาตก ในกรณีที่ผิดพลาด

การทดลองด้านความคิด

การทดลองทางความคิด

การทดลองทางความคิด (Thought Experiment) (มาจากคำ เยอรมัน ว่า Gedankenexperiment ซึ่งตั้งโดย ฮานส์ คริสเตียน เออร์สเตด) ในความหมายที่แพร่หลายที่สุดคือ การใช้แผนการที่จินตนาการขึ้นมาเพื่อช่วยเราเข้าใจวิถีทางที่สิ่งต่าง ๆ เป็นในความเป็นจริง ความเข้าใจได้มาจากปฏิกิริยาต่อสถานการณ์นั้น หลักการของการทดลองทางความคิด เป็น a priori มากกว่า เชิงประจักษ์ กล่าวคือ การทดลองทางความคิดไม่ได้มาจาก การสังเกต หรือ การทดลอง เชิงทางกายภาพแต่อย่างใด
การทดลองทางความคิดคือคำถามเชิง สมมติฐาน ที่วางรูปแแบบอย่างดีซึ่งให้เหตุผลจำพวก "จะเกิดอะไรถ้า?" (ดูที่ irrealis moods)
การทดลองทางความคิดถูกนำมาใช้ใน ปรัชญา, ฟิสิกส์, และสาขาอื่น ๆ มันถูกใช้ในการตั้งคำถามทางปรัชญาอย่างน้อยที่สุดตั้งแต่ยุคกรีก สมัยก่อน โสคราติส ในฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์สาขาอื่น ๆ นั้น การทดลองทางความคิดที่มีชื่อเริ่มจากคริสตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 20 แต่ตัวอย่างต่าง ๆ ก็ได้เริ่มพบมากตั้งแต่อย่างน้อยในยุคของ กาลิเลโอ

ผลทางทฤษฎีของการทดลองทางความคิด

ในเทอมของผลทางทฤษฎีแล้ว การทดลองความคิดนั้น:
•ท้าทาย (หรือแม้กระทั่งลบล้าง) ทฤษฎีที่มีมาก่อนซึ่งมักเกี่ยวข้องกับเครื่องมือที่รู้จักในชื่อ reductio ad absurdum,
•สนับสนุนทฤษฎีที่มีมาก่อน
•ตั้งทฤษฏีขึ้นใหม่ หรือ
•ลบล้างทฤษฎีที่มีมาก่อนและตั้งทฤษฎีใหม่พร้อม ๆ กันผ่านกระบวนการของการกีดกันร่วม



การประยุกต์ในเชิงปฏิบัติของการทดลองทางความคิด

การทดลองทางความคิดมักแนะนำมุมมองใหม่ที่น่าสนใจ สำคัญและมีค่า ที่มีต่อปริศนาและคำถามเก่า ๆ แม้ว่ามันอาจจะทำให้คำถามเก่าไม่สัมพันธ์กัน ยิ่งกว่านั้นมันยังอาจสร้างคำถามใหม่ ๆ ที่ไม่ง่ายที่จะตอบนัก
ในเทอมของการประยุกต์ในเชิงปฏิบัติ การทดลองทางความคิดถูกสร้างขึ้นโดยทั่วไปเพื่อ:
•ท้าทาย status quo ที่มีมาก่อน (ซึ่งรวมทั้งกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การแก้ไข การให้ข้อมูลผิด ๆ (หรือ การเข้าใจผิด), ชี้ให้เห็นข้อบกเพร่องในข้อโต้แย้งที่ปรากฏ, เพื่อรักษา (ในระยะยาว) ข้อเท็จจริงที่ตั้งขึ้นอย่างเป็นกลาง, และเพื่อลบล้างการยืนยันเฉพาะอย่างที่มีบางสิ่งยอมรับได้ ถูกห้าม ถูกรู้ ถูกเชื่อ เป็นไปได้ หรือจำเป็น)
•ขยายผล นอกเหนือ (หรือ แทรก ภายใน) ขอบเขตของข้อเท็จจริงที่ได้ตั้งขึ้นแล้ว
•ทำนาย และ พยากรณ์ อนาคตที่ไม่อาจรู้ได้หรือไม่อาจนิยามได้ (หรืออย่างอื่น)
•อธิบายอดีต
•retrodiction, postdiction และ postcasting ของอดีตที่ไม่อาจรู้ได้หรือไม่อาจนิยามได้ (หรืออย่างอื่น)
•เร่งการตัดสินใจ การเลือกตัวเลือกและแผนการ
•แก้ปัญหาและสร้างแนวคิด
•ย้ายปัญหาปัจจุบัน (ซึ่งมักไม่สามารถแก้ได้) ไปเป็นปัญหาอื่นที่มีประโยชน์และเป็นผลมากกว่า (กล่าวคือ ดูที่ functional fixedness)
•การเป็นสาเหตุของคุณลักษณะ, การขัดขวาง, การตำหนิ และความรับผิดชอบสำหรับผลลัพธ์หนึ่ง ๆ
•ประเมิน ความน่าตำหนิ และ ความเสียหายโดยเฉพาะ ในบริบทของสังคมและกฎหมาย
•ทำให้แน่ใจโดยการทำซ้ำความสำเร็จในอดีต หรือ
•ทำการเพิ่มเติมส่วนที่เหตุการณ์ในอดีตอาจเกิดขึ้นต่างออกไป
•ทำให้แน่ใจเพื่อหลีกเลียงความผิดพลาดในอดีต (ซึ่งอาจเกิดขึ้นในอนาคต